วันอังคารที่ 27 ธันวาคม พ.ศ. 2554

Nouns

เอกพจน์/พหูพจน์ (Singular/Plural)


  คำนามในภาษาอังกฤษที่เกียวกับการนับมี 2 ชนิดคือ

  • นามนับได้ ( countable nouns ) สามารถเป็นเอกพจน์ ( Singular ) หรือ พหูพจน์ ( Plural ) ได้
  • นามนับไม่ได้ ( uncountable nouns ) โดยทั่วไปเป็นเอกพจน์ ( Singular ) แต่มีข้อยกเว้นสำหรับบางคำสามารถทำให้เป็นพหูพจน์ ได้

ในบทนี้จะกล่าวถึงการทำให้เป็นพหูพจน์ของทั้งนามนับได้และนามนับไม่ได้ ซึ่งมีหลักกว้างๆคือ

  • นามนับได้ ส่วนใหญ่ทำให้เป็นพหูพจน์โดยการเติม - s ที่ท้ายคำ
  • นามนับไม่ได้โดยทั่วไป ทำเป็นพหูพจน์ไม่ได้ ( แต่มีข้อยกเว้น ซึ่งทำให้กลายเป็นคำนามที่ใช้อย่างนามนับได้ เช่น wine ปกติเป็นนามนับไม่ได้ แต่สามารถนำมาใช้แบบนับได้คือ wines หมายถึง เหล้าองุ่นชนิดต่างๆ )

หลักโดยทั่วไปของการทำให้เป็นพหูพจน์ มีดังนี้

1. โดยทั่วไปเติม s หลังนามเอกพจน์ เช่น

SingularPluralSingularPlural
apple ( แอปเปิล )applesstamp ( แสตมป์ )stamps
comb ( หวี )combsface (หน้า )faces
computer ( คอมพิวเตอร์ )computers

2. คำนามเอกพจน์ที่ลงท้ายด้วย s, ss, sh, ch, x, z ให้เติม es เช่น

SingularPluralSingularPlural
glass ( แก้ว )glasses dish ( จาน )dishes
bus ( รถประจำทาง )busesbox ( กล่อง )boxes
church ( โบสถ์ )churchesquiz ( การสอบสั้นๆ )quizes

3. คำนามที่ลงท้ายด้วย o และหน้า o เป็นพยัญชนะ เติม es เช่น

SingularPluralSingularPlural
tomato ( มันฝรั่ง )tomatoesecho ( เสียงก้อง )echoes
potato ( มันฝรั่ง )potatoestorpedo ( ตอร์ปิโด )torpedoes
hero ( วีรบุรุษ )heroes
ข้อยกเว้น คำนามที่ลงท้ายด้วย o บางคำที่ข้างหน้าเป็นสระหรือพยัญชนะ เติม s เช่น
SingularPluralSingularPlural
auto (รถยนต์ )autoscasino ( บ่อนการพนัน )casinos
bamboo ( ไม้ไผ่ )bamboospiano ( เปียโน )pianos
studio (ห้องสตูดิโอ )studiostobacco ( ยาสูบ )tobaccos
kangaroo ( จิงโจ้ )kangarooskilo ( กิโล )kilos
ข้อยกเว้น นามที่ลงท้ายด้วย o บางคำจะเติม s หรือ es ได้ทั้งสองอย่าง
SingularPluralSingularPlural
cargo ( สินค้า )cargos,cargoesbuffalo ( ควาย )buffalos, buffaloes
mango ( มะม่วง)mangos,mangoesmotto ( ภาษิตประจำใจ )mottos,mottoes
mosquito ( ยุง )mosquitos, mosquitoeszero ( เลขศูนย์ )zeros, zeroes

4. คำนามเอกพจน์ที่ลงท้ายด้วย y และหน้า y เป็นพยัญชนะ ให้เปลี่ยน y เป็น i แล้วเติม es เช่น

SingularPluralSingularPlural
army ( กองทัพ )armieslady ( สุภาพสตรี )ladies
family ( ครอบครัว )familieslibrary ( ห้องสมุด )libraries
baby ( เด็ก )babies
ถ้าหน้า y เป็นสระ ให้เติมเพียง s
SingularPluralSingularPlural
toy ( ของเล่น )
boy ( เด็กชาย )
key ( กุญแจ )
day ( วัน )
toys
boys
keys
days
monkey ( ลิง )
storey ( ชั้น )
valley ( หุบเขา )
monkeys
storeys
valleys

5. คำนามเอกพจน์ที่ลงท้ายด้วย f หรือ fe เปลี่ยนให้เป็น v แล้วเติม es เช่น

SingularPluralSingularPlural
calf ( ลูกวัว)calveswolf ( หมาป่า )wolves
thief ( ขโมย )thieveslife ( ชีวิต )lives
knife ( มีด )kniveswife ( ภรรยา )wives
half ( ครึ่ง )halves



แบบฝึกหัดภาษาอังกฤษ (nouns)



Underline the correct word.


1.The (roofs, rooves) of these buildings are hard.


2.Give her two(loafs, loaves) of bread.


3.I saw many (sheeps, sheep)on the mountain.


4.My mother buys some (tomatos, tomatoes)at the supermarket.


5.There are two (pianoes,pianos) in my house.


6.He feeds many (goose,geese) in his farm.


7.She takes care of her five (childs,children).


8.I think they want two(radios, radioes).


9.They brush their(tooth,teeth)every day.


10.She doesn't have enough money to buy ten(handkerchiefs,handkerchieves).

------------------------------------------------


เฉลย

1.roofs
2.loaves
3.sheep
4.tomatoes
5.pianos
6.geese
7.children
8.radios
9.teeth
10.handkerchiefs

วันเสาร์ที่ 24 ธันวาคม พ.ศ. 2554

วันคริสต์มาส

  
 

เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม

         ถึงช่วงปลายปีทีไร ชาวไทยเราก็มีเรื่องฉลองอีกแล้ว ไม่ว่าจะเป็นวันปีใหม่หรือวันคริสต์มาสที่กำลังจะเข้ามาถึง แม้ว่าวันคริสต์มาสนี่ดูเหมือนจะไม่ค่อยเกี่ยวข้องกับคนไทยที่นับถือศาสนาพุทธสักเท่าไร แต่พี่ไทยซะอย่าง ฉลองได้ทุกเทศกาลอยู่แล้ว แต่ก่อนที่จะไปฉลองกัน ลองมารู้จักกับวันคริสต์มาสก่อนดีไหม

ตำนานวันคริสต์มาส

          คำว่า "คริสต์มาส" เป็นคำทับศัพท์ภาษาอังกฤษว่า Christmas มาจากคำภาษาอังกฤษโบราณว่า Christes Maesse ที่แปลว่า "บูชามิสซาของพระคริสตเจ้า" ซึ่งพบครั้งแรกในเอกสารโบราณที่เป็นภาษาอังกฤษในปี ค.ศ. 1038 และในปัจจุบันคำนี้ก็ได้เปลี่ยนมาเป็นคำว่า Christmas

          เทศกาล Christmas หรือ X’Mas ตรงกับวันที่ 25 ธันวาคมของทุกปี ซึ่งวันที่ 25 ธันวาคมนั้นเป็นวันประสูติของพระเยซู ศาสดาแห่งศาสนาคริสต์ โดยพระองค์ประสูติที่เมืองเบ็ธเลเฮ็มและเติบโตที่เมืองนาซาเรท ซึ่งปัจจุบันคือประเทศอิสราเอล ตามหลักฐานในพระคัมภีร์ได้บันทึกไว้ว่า พระเยซูเจ้าประสูติในสมัยที่จักรพรรดิซีซาร์ ออกุสตุส แห่งจักรวรรดิโรมัน ซึ่งทรงสั่งให้จดทะเบียนสำมะโนครัวทั่วทั้งแผ่นดิน โดยฝ่ายคีรีนิอัส เจ้าเมืองซีเรียก็รับนโยบายไปปฏิบัติให้มีการจดทะเบียนสำมะโนครัวทั่วทั้งอาณาเขต แต่ในพระคัมภีร์ ไม่ได้ระบุว่า พระเยซูประสูติวันหรือเดือนอะไร

           ด้านนักประวัติศาสตร์ก็มีความเห็นที่ต่างออกไปโดยได้วิเคราะห์ว่า เดิมทีวันที่ 25 ธันวาคม เป็นวันที่จักรพรรดิเอาเรเลียนแห่งโรมัน กำหนดให้เป็นวันฉลองวันเกิดของสุริยะเทพ ตั้งแต่ปี ค.ศ.274 ชาวโรมันซึ่งส่วนใหญ่นับถือเทพเจ้าฉลองวันนี้เสมือนว่า เป็นวันฉลองของพระจักรพรรดิไปในตัวด้วย เพราะจักรพรรดิก็เปรียบเสมือนดวงอาทิตย์ ที่ให้ความสว่างแก่ชีวิตมนุษย์ แต่ชาวคริสต์ที่อยู่ในจักรวรรดิโรมัน รวมถึงชาวโรมันที่เปลี่ยนไปนับถือคริสต์อึดอัดใจที่จะฉลองวันเกิดของสุริยเทพ จึงหันมาฉลองการบังเกิดของพระเยซูซึ่งเปรียบเสมือนความสว่างของโลก และเหมือนดวงจันทร์เป็นความสว่างในตอนกลางคืนแทน หลังจากที่ชาวคริสต์ถูกควบคุมเสรีภาพทางศาสนาตั้งแต่ปี ค.ศ. 64-313 จนถึงวันที่ 25 ธันวาคม ปี ค.ศ.330 ชาวคริสต์จึงเริ่มฉลองคริสต์มาสอย่างเป็นทางการและเปิดเผย

          เทศกาลคริสต์มาสจึงเป็นวันแห่งการเฉลิมฉลองวันประสูติของพระเยซู และเป็นการฉลองความรักที่พระเจ้ามีต่อมนุษย์โลก โดยส่งบุตรชาย คือ "พระเยซู" ลงมาเกิดเป็นมนุษย์เพื่อช่วยไถ่บาป และช่วยให้มนุษย์รอดพ้นจากการทำชั่วนั่นเอง ดังนั้นในวันนี้ถือเป็นวันที่มีความหมายสำคัญชาวคริสต์ทั่วโลก และมีการส่งบัตรอวยพร ให้ของขวัญ แก่กันและกัน รวมทั้งประดับประดาตกแต่งบ้านเรือนด้วยแสงไฟ และต้นคริสต์มาสอย่างสวยงาม


องค์ประกอบในงานคริสต์มาส

 ซานตาครอส
เป็นสิ่งแรกๆ ที่คนจะนึกถึงในฐานะสัญลักษณ์ของวันคริสต์มาส ซึ่งว่ากันว่าซานตาคลอสคนแรก คือ นักบุญ (เซนต์) นิโคลัส ผู้เป็นสังฆราชแห่งเมืองไมรา มีชีวิตอยู่ในศตวรรษที่ 4 และเหตุที่ได้รับการยกย่องว่าเป็นซานตาครอสคนแรก มาจากวันหนึ่งที่ท่านปีนขึ้นไปบนหลังคาบ้านของเด็กหญิงยากจนคนหนึ่ง แล้วทิ้งถุงเงินลงไปทางปล่องไฟ บังเอิญถุงเงินหล่นไปทางถุงเท้าที่เด็กหญิงแขวนตากไว้ข้างเตาผิงพอดี
 

          นักบุญนิโคลัส นั้นเป็นนักบุญที่ชาวฮอลแลนด์นับถือว่าเป็นนักบุญผู้อุปถัมภ์ของเด็กๆ เมื่อชาวฮอลแลนด์กลุ่มหนึ่งอพยพไปอยู่ในสหรัฐฯ ก็ยังรักษาประเพณีการฉลองนักบุญ นิโคลาส ในวันที่ 5 ธันวาคม เอาไว้ ซึ่งหมายถึงนักบุญนี้จะมาเยี่ยมเด็กๆ และเอาของขวัญมาให้เด็กอื่นๆ ที่ไม่ใช่ลูกหลานของชาวฮอลแลนด์ที่อพยพมา ประเพณีนี้จึงเริ่มเป็นที่รู้จักและแพร่หลายในอเมริกา โดยมีการเปลี่ยนแปลงบางอย่าง คือ ชื่อนักบุญนิโคลัสก็เปลี่ยนเป็น ซานตาคลอส และแทนที่จะเป็นสังฆราชก็กลายเป็นชายแก่ที่อ้วนและใส่ชุดสีแดง อาศัยอยู่ที่ขั้วโลกเหนือ มีเลื่อนเป็นยานพาหนะที่มีกวางเรนเดียร์ลาก และจะมาเยี่ยมเด็กทุกคนในโลกนี้ในโอกาสคริสต์มาส โดยลงมาทางปล่องไฟของบ้านเพื่อเอาของขวัญมาให้เด็กเหล่านั้นตามความประพฤติของเขา

          ถึงแม้ซานตาคลอสจะเป็นเพียงตำนานที่เกิดขึ้นมาเพื่อเฉลิมฉลองวันคริสต์มาสก็ตาม แต่ก็เป็นสัญลักษณ์ที่รวมเอาวิญญาณและความหมายของคริสต์มาสไว้อย่างมากมาย อาทิ ความปิติยินดีชื่นชม ความโอบอ้อมอารี ความรัก และความเป็นกันเอง

 ถุงเท้า           จากที่นักบุญนิโคลัสได้ปีนขึ้นไปบนปล่องไฟของบ้านเด็กหญิงยากจน เพื่อที่จะมอบเหรียญเงินให้เป็นของขวัญ แต่เหรียญนั้นกลับตกไปอยู่ในถุงเท้าที่เด็กหญิงแขวนตากไว้หน้าเตาผิง พอรุ่งเช้าเด็กหญิงตื่นมาเจอเหรียญเงินในถุงเท้าจึงดีใจมาก และกลายเป็นจุดเริ่มต้นของการที่ผู้คนมากมายต่างพากันแขวนถุงเท้าคริสต์มาสไว้ เพื่อหวังจะได้รับของขวัญเช่นเดียวกันบ้าง


 ต้นคริสต์มาส
          นอกจากนี้อีกอย่างที่ขาดไม่ได้ก็คือ ต้นคริสต์มาส ซึ่งต้นคริสต์มาสก็คือต้นสนที่นำมาประดับประดาด้วยลูกแอปเปิ้ลและขนมปังเพื่อระลึกถึงศีลมหาสนิท และก็ได้มีวิวัฒนาการที่เปลี่ยนแปลงไปเรื่อยจนมาถึงการประดับด้วยดวงไฟหลากสีสัน ขนม และของขวัญ อย่างในทุกวันนี้ การตกแต่งแบบนี้ต้องย้อนไปในศตวรรษที่ 8 เมื่อเซนต์บอนิเฟส มิชชันนารีชาวอังกฤษที่เดินทางไปประกาศเรื่องพระเจ้าในเยอรมนี ได้ช่วยเด็กที่กำลังจะถูกฆ่าเป็นเครื่องสังเวยบูชาที่ใต้ต้นโอ๊ก
          โดยเมื่อโค่นต้นโอ๊กทิ้งก็ได้พบต้นสนเล็กๆ ต้นหนึ่งขึ้นอยู่ที่โคนต้นโอ๊ก ท่านจึงขุดให้คนที่ร่วมพิธีกรรมเหล่านั้นเพื่อเป็นสัญลักษณ์ของชีวิต และตั้งชื่อว่า ต้นกุมารพระคริสต์ ต่อมา มาร์ติน ลูเธอร์ ผู้นำคริสตจักรชาวเยอรมัน ตัดต้นสนไปตั้งในบ้านในเดือนธันวาคม ปี ค.ศ.1540 หลังจากนั้นในศตวรรษที่ 19 ต้นคริสต์มาสจึงเริ่มแพร่ไปสู่ประเทศอังกฤษและทั่วโลก และอีกเหตุผลที่ใช้ต้นสนก็เพราะว่ามันหาง่าย

          ในสมัยโบราณนั้นต้นคริสต์มาส หมายถึง ต้นไม้ในสวนสวรรค์ ซึ่งอาดัมและเอวาไปหยิบผลไม้มากิน และทำบาป ไม่เชื่อฟังพระเจ้า โดยตามพระคัมภีร์นั้นได้เปรียบพระเยซูเจ้าเสมือนเป็นต้นไม้แห่งชีวิต ซึ่งเป็นต้นไม้ที่เขียวเสมอในทุกฤดูกาล สื่อถึงนิรันดรภาพของพระเยซูเจ้า อีกทั้งความสว่างของพระองค์ยังเหมือนแสงเทียนที่ส่องสว่างในความมืด และรวมถึงความชื่นชมยินดี และความสามัคคี ที่พระเยซูประทานให้ เพราะต้นไม้นั้นเป็นจุดศูนย์รวมของครอบครัวในเทศกาลคริสต์มาส

 ต้นฮอลลี่

          ต้นฮอลลี่ เป็นต้นไม้พุ่มเตี้ย และเป็นอีกหนึ่งสัญลักษณ์ของวันคริสต์มาส เชื่อกันว่า สีเขียวของต้นฮอลลี่มีความหมายถึง การมีชีวิตอยู่ชั่วนิรันดร์ และมีความสัมพันธ์กับพระเยซู โดยผลสีแดงของต้นฮอลลี่นั้นหมายถึงหยดเลือดของพระเยซูที่ไหลลงบนไม้กางเขน ซึ่งเปรียบเสมือนสัญลักษณ์ของความรักที่มีต่อพระเจ้า ใบไม้ที่มีหนามของต้นฮอลลี่เป็นสิ่งที่เตือนพวกเราถึงมงกุฏหนามที่พวกชาวทหารโรมันได้นำมาวางไว้บนศีรษะของพระเยซูคริสต์


 ดอกไม้คริสต์มาส หรือ Poinsettia
          ตำนานของดอก Poinsettia ที่กลายมาเป็นสัญลักษณ์หนึ่งของวันคริสต์มาส มาจากเรื่องราวของเด็กหญิงจนๆ คนหนึ่ง ที่ต้องการหาของขวัญไปมอบให้พระแม่มารีในวันคริสต์มาสอีฟ แต่เนื่องจากเธอไม่มีสิ่งของใดๆ ติดตัว จึงเดินทางไปตัวเปล่า และระหว่างทางเธอได้พบกับนางฟ้าที่บอกให้เธอเก็บเมล็ดพืชไว้ ต่อมาเมล็ดพืชนั้นกลับเจริญเติบโตเปลี่ยนเป็นดอกไม้สีเลือดหมูสดใส ซึ่งก็คือดอก Poinsettia ตั้งแต่นั้นดอก Poinsettia ก็ได้รับความนิยมใช้ประดับประดาบ้านในงานคริสต์มาส
 ดอกคริสต์มาส Christmas Rose
          มีต้นกำเนิดที่ประเทศอังกฤษ ลักษณะเป็นดอกสีขาว และมักออกดอกในช่วงฤดูหนาว ตำนานของดอกคริสต์มาสนี้มีอยู่ว่า ในช่วงที่พระเยซูประสูติ มีผู้รอบรู้ 3 คน กับคนเลี้ยงแกะเดินทางมาพบพระเยซู ระหว่างทางพวกเขาพบกับ มาเดลอน เด็กหญิงที่เลี้ยงแกะคนหนึ่ง เมื่อเธอทราบว่าทั้งหมดเดินทางมาเพื่อมอบของขวัญให้พระเยซู มาเดลอนก็เสียใจที่ไม่มีของขวัญใดไปมอบให้พระเยซูบ้าง ก่อนที่นางฟ้าที่เฝ้ามองเธออยู่จะเกิดความเห็นใจจึงร่ายมนตร์เสกดอกไม้สีขาวน่ารักและมีสีชมพูอยู่ตรงปลายกลีบให้เธอ และดอกไม้นั้นคือ ดอกคริสต์มาสนั่นเอง

 เพลงวันคริสต์มาส          เพลงคริสต์มาสเริ่มมีขึ้นในศตวรรษที่ 5 แต่งโดยพระสงฆ์และฆราวาส มีเนื้อร้องเป็นภาษาลาติน ลักษณะของเพลงเป็นแบบสง่า เน้นถึงความหมายของการเสด็จมาของพระเยซูเจ้า แต่ในศตวรรษที่ 12 ได้มีการแต่งในท่วงทำนองที่ร่าเริงสนุกสนานมากขึ้น เริ่มจากประเทศอิตาลี โดยนักบุญฟรังซิส อัสซีซี และนักบวชคณะฟรังซิสกัน เป็นผู้สนับสนุน ให้มีเพลงคริสต์มาสแบบใหม่

          เพลงคริสตมาสแบบใหม่นี้ เป็นที่ชื่นชอบของชาวบ้าน เพราะมีท่วงทำนองที่ร่าเริงกว่า และเน้นถึงความชื่นชมยินดีในโอกาสคริสต์มาส เพลงเหล่านี้มีทั้งที่เป็นภาษาลาติน และภาษาพื้นเมือง เพลงหนึ่งที่แต่งในสมัยนั้น (แต่งคำร้องในปี ค.ศ.1274) และยังใช้อยู่จนถึงปัจจุบัน คือ เพลง Oh Come, All Ye Faithful หรือ Adeste Fideles ในภาษาลาติน เพลงคริสต์มาสที่นิยมร้องมากที่สุดในปัจจุบันได้แต่งขึ้นในศตวรรษที่ 19 จากประเทศเยอรมัน และประเทศอังกฤษเป็นส่วนใหญ่ เพลงที่มีชื่อเสียงมากได้แก่ เพลง Silent Night, Holy Night

          ความเป็นมาของเพลงนี้มาจากวันก่อนวันฉลองคริสต์มาส ของปี ค.ศ.1818 คุณพ่อโจเซฟ โมห์ (Joseph Mohr) เจ้าอาวาสวัดที่โอเบิร์นดอฟ (Oberndorf) ประเทศออสเตรีย ได้ข่าวว่าออร์แกนในวัดเสีย ทำให้วงขับร้องไม่สามารถร้องเพลงตามที่ซ้อมไว้ได้ จึงมีการแต่งเพลงคริสต์มาสใหม่ นำไปให้เพื่อนชื่อ ฟรานซ์ กรูเบอร์ (Franz Gruber) ใส่ทำนองในคืนวันที่ 24 นั่นเอง และเล่นเพลง Silent Night เป็นครั้งแรก โดยมีการเล่นกีตาร์ประกอบการขับร้อง ซึ่งกลายเป็นเพลงที่นิยมมากที่สุดทั่วโลก
 คำอวยพรวันคริสต์มาส
          ในวันคริสต์มาสเรามักจะใช้คำอวยพรให้แก่กันและกันว่า Merry X'mas คำว่า Merry ในภาษาอังกฤษโบราณ แปลว่า "สันติสุขและความสงบทางใจ" คำนี้จึงเป็นคำที่ใช้อวยพรขอให้เขาได้รับสันติสุขและความสงบทางใจ และได้จัดให้มีการฉลองเพื่อระลึกถึงการบังเกิดของพระเยซู ที่เขายกย่องเหมือนกษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่แห่งสากลโลก ผู้ทรงเกียรติเลอเลิศ ประเพณีนี้ได้เริ่มมาจากรุงโรมในศตวรรษที่ 4 และค่อยๆ เผยแพร่ไปทุกทวีป

 สีประจำวันคริสต์มาส
สีที่เกี่ยวข้องในวันคริสต์มาสประกอบด้วย
          สีแดง : เป็นสีของผลฮอลลี่ หรือซานตาครอส เป็นสีของเดือนธันวาคม ที่แสดงถึงความตื่นเต้น และหากเป็นสัญลักษณ์ตามศาสนา สีแดงจะหมายถึง ไฟ, เลือด และความโอบอ้อมอารี

          สีเขียว : เป็นสีของต้นไม้ สัญลักษณ์ของธรรมชาตื หมายถึงความอ่อนเยาว์และความหวังที่จะมีชีวิตเป็นนิรันดร์ เปรียบได้กับว่าเทศกาลคริสต์มาสคือเทศกาลแห่งความหวัง

          สีขาว : เป็นสีของหิมะ และเป็นสัญลักษณ์ทางศาสนา คือแสงสว่าง ความบริสุทธิ์ ความสุข และความรุ่งเรือง สีขาวนี้จะปรากฎบนเสื้อคลุมนางฟ้า, เคราและชายเสื้อของซานตาครอส

          สีทอง : เป็นสีของเทียนและดวงดาว เป็นสัญลักษณ์ของแสงอาทิตย์และความสว่างไสว


 การทำมิสซาเที่ยงคืน          การถวายมิสซานี้เกิดขึ้นหลังจากพระสันตะปาปาจูลีอัสที่ 1 ได้ประกาศให้วันที่ 25 ธันวาคมเป็นวันฉลองพระคริสตสมภพ (วันคริสต์มาส) ในปีนั้นเองพระองค์และสัตบุรุษ ได้พากันเดินสวดภาวนา และขับร้องไปยังตำบลเบธเลเฮม และไปยังถ้ำที่พระเยซูเจ้าประสูติ เมื่อไปถึงตรงกับเวลาเที่ยงคืนพอดี พระสันตะปาปาทรงถวายบูชามิซซา ณ ที่นั้น เมื่อเดินทางกลับมาที่พักได้เวลาตี 3 พระองค์ก็ถวายมิสซาอีกครั้ง และ สัตบุรุษเหล่านั้นก็พากันกลับ แต่ยังมีสัตบุรุษหลายคนไม่ได้ร่วมขบวนไปด้วยในตอนแรก พระสันตะปาปาก็ทรงถวายบูชามิสซาอีกครั้งหนึ่งเป็นครั้งที่ 3 เพื่อสัตบุรุษเหล่านั้น ด้วยเหตุนี้เองพระสันตะปาปาจึงทรงอนุญาตในพระสงฆ์ถวายบูชามิสซาได้ 3 ครั้ง ในวันคริสต์มาส เหมือนกับการปฏิบัติของพระองค์ นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาจึงมีธรรมเนียมถวายมิสซาเที่ยงคืน ในวันคริสต์มาส และพระสงฆ์ก็สามารถถวายมิสซาได้ 3 มิสซา ในโอกาสวันคริสต์มาส
 เทียนและพวงมาลัย

         พวงมาลัยนั้นเป็นสัญลักษณ์ที่คนสมัยก่อนใช้หมายถึงชัยชนะ แต่สำหรับการแขวนพวงมาลัยในวันคริสต์มาสนั้น หมายถึงการที่พระองค์มาบังเกิดในโลก และทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างครบบริบูรณ์ตามแผนการณ์ของพระเป็นเจ้า ซึ่งธรรมเนียมนี้ เกิดจากกลุ่มคริสตชนกลุ่มหนึ่งในประเทศเยอรมันได้เอากิ่งไม้มาประกอบเป็นวงกลมคล้ายพวงมาลัย แล้วเอาเทียน 4 เล่ม วางไว้บนพวงมาลัยนั้น ในตอนกลางคืนของวันอาทิตย์แรกของเทศกาลเพื่อเตรียมรับเสด็จ ทุกคนในครอบครัวจะจุดเทียนหนึ่งเล่ม สวดภาวนา และร้องเพลงคริสต์มาสร่วมกันเป็นเวลา 4 อาทิตย์ก่อนถึงวันคริสต์มาส ประเพณีเป็นที่นิยมอยางมากในประเทศอเมริกา ต่อมาได้มีการเปลี่ยนแปลงโดยนำเทียน 1 เล่มนั้นมาจุดไว้ตรงกลางพวงมาลัยสีเขียว และนำไปแขวนไว้ที่หน้าต่าง เพื่อเป็นการเตือนให้คนที่เดินผ่านไปมาได้รู้ว่าใกล้ถึงวันคริสต์มาสแล้ว ส่วนเหตุผลที่พวงมาลัยมีสีเขียวนั้น เป็นเพราะมีการเชื่อกันว่าสีเขียวจะช่วยป้องกันบ้านเรือนจากพวกพลังอันชั่ว ร้ายได้

 ระฆังวันคริสต์มาส
          เสียงระฆังในวันคริสต์มาสคือการเฉลิมฉลองให้กับการประสูติของพระพุทธเจ้า โดยมีตำนานเล่าว่า มีการตีระฆังช่วงก่อนเวลาเที่ยงคืนของวันคริสต์มาสเพื่อลดพลังความมืด และบ่งบอกถึงความตายของปีศาจ ก่อนที่พระเยซูผู้ที่จะมาช่วยไถ่บาปให้กับมวลมนุษย์จะถือกำเนิดขึ้น และระฆังนี้มีเสียงดังกังวาลนานนับชั่วโมง ก่อนที่ในเวลาเที่ยงคืนเสียงระฆังนี้จะกลับกลายมาเป็นเสียงแห่งความสุข

 ดาว
          ดาว ในความหมายของชาวคริสต์เตียน หมายถึงการแสดงออกที่ดีของพระเยซูคริสต์ ที่บัญญัติไว้ในพระคัมภีร์ไบเบิ้ลว่า "The bright and morning star" มีความหมายพิเศษเหมือนกับว่า ดวงดาวเหล่านั้นได้แบ่งที่อยู่กับสรวงสวรรค์ ไม่ว่าจะมีกำแพงอะไรขวางกั้นระหว่างพื้นผิวโลกด้วยก็ตาม

 เครื่องประดับและแอปเปิ้ล                          

          ในบางแห่งเชื่อว่า ลำต้นของแอปเปิ้ล มองดูคล้ายกับต้นไม้ในสรวงสวรรค์ จึงมีการนำเอาแอปเปิ้ลมาประดับตามต้นไม้ในวันคริสต์มาส ส่วนเครื่องประดับชิ้นเล็กๆ ที่ตกแต่งต้นคริสต์มาสนั้นเป็นงานศิลปะที่จำลองจากผลไม้ และที่มีสีสันสดใสนั้นเพื่อให้เกิดความรื่นเริงในบ้าน อีกทั้งแสงระยิบระยับที่สะท้อนไปมา ยังดูสวยงามคล้ายแสงเทียนและแสงไฟ

 ของขวัญวันคริสต์มาส
                     
          การแลกเปลี่ยนของขวัญในวันคริสต์มาสนั้น เริ่มต้นจากเมือง Saturnalia ในช่วงยุคโรมัน ต่อมาชาวคริสต์รับประเพณีนี้เข้ามา ด้วยความเชื่อว่า การให้ของขวัญนี้มีความเกี่ยวเนื่องกับของขวัญประเภททอง, ยางสนที่มีกลิ่นหอม และ ยางไม้หอม ซึ่งพวกนักเวทย์จากตะวันออกที่เดินทางมาคารวะพระเยซูคริสต์ นำมาให้ตอนที่ท่านประสูติ

          ทั้งหมดนั้นก็คือการเฉลิมฉลองให้กับพระเยซู ที่เกิดมาเพื่อชำระบาปให้แก่ชาวคริสต์ทั้งหลาย และเป็นเทศกาลที่นำความสุข สนุกสนาน มาสู่หมู่มวลมนุษย์ 

วันอังคารที่ 20 ธันวาคม พ.ศ. 2554

เทคนิคจำศัพท์

จัดศัพท์เป็นหมวดหมู่ เช่น คำที่มีความสัมพันธ์กัน หรือมีความหมายตรงข้ามกัน จะช่วยให้จำศัพท์ได้ง่ายขึ้น อาจจดบันทึกใส่สมุดที่พกพาได้ เพื่อความสะดวกเมื่อต้องหยิบมาท่องในเวลาว่าง

นำศัพท์มาใช้บ่อย ๆ ทำให้เกิดความเคยชิน จะจำได้แม่นยำขึ้น จากนั้นลองแต่งประโยคจากคำเหล่านั้น เพื่อฝึกการเรียบเรียงประโยค

จำศัพท์จากการออกเสียง อาทิ คำที่ออกเสียงคล้าย ๆ กัน นอกจากจะช่วยให้นึกถึงความหมายได้ง่ายแล้ว ยังได้รู้หลักการออกเสียงที่ถูกต้อง

ท่องศัพท์ทุกวัน อย่างน้อยวันละ 10 คำ และหมั่นทบทวนบ่อย ๆ ให้คุ้นเคย หากมีโอกาสสนทนากับคนพูดภาษาอังกฤษ ควรลองนำศัพท์ไปใช้ในสถานการณ์จริง

ฝึกฟัง-อ่านภาษาอังกฤษจากข่าวหรือหนังสือต่าง ๆ แล้วสังเกตหาศัพท์ที่เคยท่อง จะช่วยให้เข้าใจเรื่องราวโดยรวมของเรื่องที่อ่านได้เร็วขึ้น

หลักการจำที่สำคัญอีกประการ คงต้องอยู่ที่ความขยันและความสม่ำเสมอในการท่อง เพื่อประสิทธิภาพการเรียนรู้ที่ได้ผล.

 หวังว่าคงจะช่วยอะไรได้บ้าง ลองทำดูอาจจะช่วยคุณได้

วันศุกร์ที่ 16 ธันวาคม พ.ศ. 2554

วิธีการใช้ภาษาอังกฤษเรียกคนใกล้ชิดแบบไม่เป็นทางการ

Non-formal Pronouns ในภาษาอังกฤษ


         หากพูดถึงประธานที่ใช้กันในชีวิตประจำวันแล้ว คงจะหนีไม่พ้น “I, You, We, They, He, She, It” ที่เราได้เรียนรู้กันมาจากตำราต่างๆ แต่รู้หรือไม่ว่า ในชีวิตจริงแล้ว มีคำมากมายที่สามารถนำมาใช้แทนคำเหล่านี้ได้ วันนี้เราลองปิดตำราทั้งหลาย แล้วเปิดโลกทัศน์ด้วยคำต่างๆที่เราควรจะรู้ไว้เพื่อใช่สื่อสารภาษาอังกฤษแบบไม่เป็นทางการ (Non-formal English) กันดีกว่า

คำที่ใช้เรียก “ผู้หญิง” บางคนอาจจะงงว่าทำไมอยู่ดีๆพึ่งจะรู้จักกับฝรั่ง แล้วทำไมเขาถึงเรียกเราว่าที่รักด้วยคำต่างๆนานา คำตอบก็คือ คำเหล่านี้สามารถนำมาใช้เรียกแทนตัวเราได้ ซึ่งก็ได้แก่คำว่า
Gorgeous, Sweetie, Sweetheart, Sister, Sis, Love, Darling, Honey, Baby, Girl, Gal, Dear, Sugar, Cutie, Chick

คำที่ใช้เรียก “ผู้ชาย” สำหรับผู้ชายแล้ว คำที่ใช้ต่างๆนั้นจะเน้นไปถึง ความสัมพันธ์แบบพี่น้อง (Brotherhood) หรือ คำที่บ่งบอกถึงมิตรภาพ (Friendship) ไปเสียส่วนใหญ่ เช่น
Man, Boy, Brother, Fella, Fellow, Dude, Buddy, Mate, My friend, Boss, Chief
 
คำที่ใช้เรียก ”กลุ่มเพื่อน” อาจใช้คำว่า Guys, People, Fellas, Gang, Gangsta, Chicks (แทนกลุ่มผู้หญิง)
 
คำที่ใช้เรียก “เด็ก” เช่น Kid, kiddo
 
คำที่ถูกย่อให้สั้นลง (Short forms) เป็นที่รู้กันว่าศัพท์แทบทุกคำที่นิยมใช้กันอยู่บ่อยๆ มักจะถูกย่อให้สั้นลง ซึ่งก็รวมไปถึงคำเหล่านี้ด้วย:

   Hun – มาจากคำว่า Honey
   Babe – มาจากคำว่า Baby
   Sis – มาจากคำว่า Sister
   Bro – มาจากคำว่า Brother
   Darl – มาจากคำว่า Darling

คำว่า “ที่รัก” แบบหวานแหวว - สำหรับคนที่เบื่อที่จะใช้คำว่า “Tee Rak” ในการเรียกแฟนตัวเองบน BB หรือ ใน SMS ต่างๆ แล้วกำลังมองหาคำอื่นอยู่ สามารถลองใช้คำเหล่านี้ดูได้ รับรองแปลก ไม่เหมือนใคร แถมยังฟังดูน่ารักอีกด้วย:
Cutie Bunny, Cutie Pie, Sweetie Pie, My Little Sunshine, My Sunshine, My pumpkin, Honey Bunny (Hunni Bunni), My Little Cupcake, Cupcake, honeybunch, My Boo (My Baby)
 
  *เราสามารถนำคำเหล่านี้ไปใช้เรียกเด็กได้เช่นกัน
  *การใช้คำว่า My หรือ Your เข้ามาเสริมคำต่างๆ อาจจะช่วยเพิ่มความหวานขึ้นอีกเท่าตัวหนึ่ง เช่น Your Sweetie Pie, Your pumkin, You are my little angel และอื่นๆ

วันพุธที่ 14 ธันวาคม พ.ศ. 2554

8 ตัวอย่างภาษาอังกฤษแบบผิดๆ ที่ฮิตติดปากคนไทย

ในปัจจุบันมีคำทับศัพท์ภาษาอังกฤษที่คนไทยใช้กันจนติดปากอยู่มากมาย แต่คุณเคยรู้ไหมว่ามีบางคำที่ฝรั่งเค้าไม่ได้ใช้อย่างที่เราพูดกันติดปาก ผมจึงเสนอคำศัพท์สัก 10 ตัวอย่างที่คนไทยมักใช้อย่างผิดๆพร้อมทั้งคำที่ถูกต้องซึ่งคุณควรนำไปใช้เวลาคุยกับฝรั่ง เริ่มเลยแล้วกันครับ

1) อินเทรนด์ (in trend) คำนี้อินเทรนด์มากๆ เอ๊ย...ฮิตมากๆ ในปัจจุบัน สามารถได้ยินตามรายการวิทยุหรือโทรทัศน์ทั่วไป เพราะใช้กันทั่วบ้านทั่วเมือง เช่น เด็กสมัยนี้ถ้าจะให้อินเทรนด์ต้องตามแฟชั่นเกาหลี ซึ่งบางทีเวลาคุณต้องการพูดว่า "มันทันสมัย" คุณอาจจะติดปากว่า "It is in trend." คำว่า "ทันสมัย" ฝรั่งเค้าไม่ใช้คำว่า "in trend" อย่างคนไทยหรอกครับ เค้าจะใช้คำว่า "trendy" หรือ "fashionable" ซึ่งเป็นคำคุณศัพท์ที่คุณสามารถวางไว้หน้าคำนามที่ต้องการขยาย เช่น a trendy haircut ทรงผมที่ทันสมัย, a fashionable restaurant ร้านอาหารที่ทันสมัย หรือจะไว้หลัง verb to be เช่น It is trendy. หรือ It is fashionable. ก็ได้

2) เว่อร์ (over) เช่น ใยคนนั้นทำอะไรเว่อร์ๆ She is over. ไม่มีความหมายแต่อย่างใดในภาษาอังกฤษ ฝรั่งที่ได้ยินคุณพูดเช่นนี้ คงมึนตึบ พร้อมทำสีหน้างงว่ามันหมายถึงอะไรเหรอ? พูดถึงคำนี้ คนไทยน่าจะหมายถึงการพูดเกินจริงหรือทำเกินจริง ซึ่งถ้าพูดเกินจริง ควรจะใช้คำศัพท์ที่ว่า "exaggerate" เป็นคำกิริยา อ่านว่า เอก-แซ้ก-เจ่อ-เรท เช่น

"He said you walked 30 miles." เค้าบอกว่าคุณเดินตั้ง 30 ไมล์
"No - he's exaggerating. It was only about 15." ไม่หรอก เค้าพูดเว่อร์ (เกินจริง) มันก็แค่ 15 ไมล์เอง

ดังนั้น ถ้าจะบอกว่า เธอพูดเว่อร์น่ะ ก็บอกว่า You're exaggerating. หรือจะบอกเค้าว่า อย่าพูดเว่อร์ๆ น่ะ อาจใช้ว่า Don't exaggerate. ส่วนอาการเว่อร์อีกแบบคือการทำเกินจริง เราจะใช้คำกิริยาที่ว่า "overact" เช่น You're overacting. เธอทำเว่อร์เกิน (แสดงอารมณ์เกินจริง)

3) ดูหนัง soundtrack เวลาคุณจะบอกใครว่า ฉันต้องการดูหนังฝรั่งที่พากย์ภาษาอังกฤษ อย่าพูดว่า "I want to watch a soundtrack film." แต่ควรจะใช้ว่า "I want to watch an English film." เพราะความหมายของคำว่า "soundtrack" คือ ดนตรีที่อยู่ในภาพยนตร์ ต่างหากล่ะครับ
ถ้าเราจะพูดถึงหนังฝรั่งที่พากย์เสียงภาษาไทย เราต้องบอกว่า "I want to watch an English film that is dubbed into Thai." เพราะคำกิริยาว่า "dub" คือพากย์เสียงจากต้นแบบในหนังหรือรายการโทรทัศน์ไปเป็นภาษาอื่น
ส่วนหนังที่มีคำบรรยายใต้ภาพเราเรียกว่า "a subtitled film" ซึ่งคำบรรยายที่อยู่ใต้ภาพ เราเรียกว่า "subtitles" (ต้องมี s ต่อท้ายเสมอนะครับ) เช่น a French film with English subtitles หนังฝรั่งเศสที่มีคำบรรยายใต้ภาพเป็นภาษาอังกฤษ

หนังบางเรื่องจะมีคำบรรยายใต้ภาพเป็นภาษาเดียวกับที่นักแสดงพูด เรามีศัพท์เรียกเฉพาะว่า "closed-captioned films/คำหวงห้าม/television programs" หรือ อาจเขียนย่อๆ ว่า "CC" เช่น You should watch a closed-captioned film to improve your English. คุณควรจะดูหนังฝรั่งที่มีคำบรรยายภาษาอังกฤษเพื่อพัฒนาภาษาอังกฤษของคุณ

4) นักศึกษาปี 1 คนไทยมักเรียกว่า "freshy" ซึ่งฝรั่งไม่รู้เรื่องหรอกครับ เพราะไม่มีการบัญญัติศัพท์คำนี้ในภาษาอังกฤษ เค้าจะใช้คำว่า "fresher" หรือ "freshman" เช่น He is a fresher. หรือ He is a freshman. หรือ He is a first-year student. เขาเป็นนักศึกษาปี 1 ส่วนปีอื่นๆ คนไทยเรียกถูกแล้วครับ คือ ปี 2 เราเรียก a sophomore, ปี 3 เรียกว่า a junior และ ปี 4 เรียกว่า a senior

5) อัดหรือบันทึก คนไทยมักพูดทับศัพท์ว่า เร็คคอร์ด (record) คำๆ นี้สามารถเป็นได้ทั้งคำนามและคำกิริยา เพียงแค่เปลี่ยนตำแหน่ง stress กล่าวคือ ถ้าจะใช้เป็นคำนามที่แปลว่า แผ่นเสียงหรือสถิติ ให้ขึ้นเสียงสูงที่พยางค์แรก คือ "เร็ค-คอร์ด" เช่น He wants to buy a record. เขาต้องการซื้อแผ่นเสียง, I broke my own record. ฉันทำลายสถิติของฉันเอง แต่ถ้าคุณจะหมายถึงคำกิริยาที่แปลว่า อัดหรือบันทึก ต้อง stress พยางค์หลัง ซึ่งจะอ่านว่า "รี-คอร์ด" เช่น I'll record the film and we can all watch it later. ฉันจะอัดหนัง เราจะได้เก็บไว้ดูทีหลังได้ ส่วนเครื่องบันทึก เราเรียกว่า "recorder" อ่านว่า รี-คอร์-เดอร์

6) ต่างคนต่างจ่าย เรามักใช้ American share รับรองว่าฝรั่ง(ต่อให้เป็นชาวอเมริกันด้วยครับ) ได้ยินแล้ว งงแน่นอน ถ้าคุณจะหมายถึงต่างคนต่างจ่ายให้ใช้ว่า "Let's go Dutch." หรือ "Go Dutch (with somebody)." อันนี้ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าเป็นธรรมเนียมของชาวดัตช์หรือเปล่า? ที่ต่างคนต่างจ่ายเลยมีสำนวนอย่างนี้ หรือคุณอาจจะบอกตรงๆ เลยว่า "You pay for yourself." คือเป็นอันรู้กันว่าต่างคนต่างจ่าย แต่ถ้าคุณต้องการเป็นเจ้ามือ(ไม่ใช่เล่นไพ่นะครับ)เลี้ยงมื้อนี้เอง คุณควรพูดว่า "It's my treat this time." หรือ "My treat." หรือ "It's on me." หรือ "All is on me." หรือ "I'll pay for you this time." ทั้งหมดแปลว่า มื้อนี้ฉันจ่ายเอง ส่วนถ้าจะบอกเพื่อนว่า คราวหน้าแกค่อยเลี้ยงฉันคืน ให้บอกว่า "It's your treat next time."

7) ขอฉันแจม (jam) ด้วยคน ในกรณีนี้คำว่า "แจม" น่าจะหมายถึง "ร่วมด้วย" เช่น We are going to eat outside. Do you want to jam? เรากำลังจะออกไปกินข้าวข้างนอก เธอจะไปด้วยมั้ย? ในภาษาอังกฤษไม่ใช้คำว่า jam ในกรณีแบบนี้ ซึ่งควรจะใช้ว่า "Do you want to join us?", "Do you want to come with us?" หรือ "Do you want to come along?" จะดีกว่าครับ

เขามีแบ็ค (back) ดี "He has a good back." ฝรั่งคงงงว่ามันเกี่ยวอะไรกับข้างหลังของเค้า เพราะ back แปลว่า หลัง (อวัยวะ) แต่คุณกำลังจะพูดถึงมีคนคอยสนับสนุน ซึ่งต้องใช้ "a backup" ซึ่งหมายถึง คนหรือสิ่งของที่ช่วยสนับสนุน ช่วยเหลือ เกื้อกูล เป็นกำลังใจให้

Game

เกม การเล่นเกมภาษาอังกฤษ สามารถมัดใจของเด็กๆได้อยู่หมัดเลยนะคะ มีเกมภาษาอังกฤษที่ผู้เขียนใช้แล้วประสบความสำเร็จมาก ส่วนชื่อเกมอาจจะปรับเปลี่ยนได้แล้วแต่ครูผู้สอน ดังนี้ค่ะ

-Spin the bottle เป็นเกมที่เหมาะกับการฝึกทักษะการถาม – ตอบภาษาอังกฤษ โดยเด็กๆนั่งเป็นวงกลม ครูเดินเข้าไปกลางวงและเริ่มหมุนขวด เมื่อปลายขวดชึ้ไปที่ใครให้เด็กคนนั้นตอบ ครูตั้งคำถาม เช่น “ What is your favorite food” แล้วเปลี่ยนคนที่ตอบแล้วมาถามคนถัดไปจนครบทุกคน หรือปรับได้ตามความเหมาะสมของเวลาค่ะ
- Listen and take เป็นเกมสนุกๆ เหมาะกับการฝึกทักษะการอ่านและฟังค่ะ โดยครูและเด็กๆช่วยกันวางคำศัพท์บนพื้น หรือติดคำศัพท์ไว้บนกระดาน แล้วแบ่งเด็กออกเป็นสองกลุ่ม แต่ละกลุ่มส่งตัวแทนออกมาเล่นเกม ครูอ่านคำศัพท์และให้ผู้เล่นหยิบคำศัพท์ให้ตรงกับที่ครูอ่าน ใครหยิบได้ก่อนเป็นผู้ได้คะแนนค่ะ เด็กๆสามารถเล่นได้จนครบทุกคนค่ะ
- Listen and write เป็นเกมที่เหมาะกับการฝึกทักษะการฟังและการเขียนค่ะ โดยครูอ่านคำศัพท์และให้ผู้เล่นเขียนคำศัพท์ให้ตรงกับที่ครูอ่าน ซึ่งถ้าเป็นคำศัพท์ที่ยากเกินไป ครูอาจจะเขียนตัวอักษรบางตัวให้ค่ะ เด็กๆจะได้รู้สึกอยากล่นมากขึ้น เกมนี้ถ้าจัดเป็นกลุ่มจะดีมากค่ะ
- Listen and circle เป็นเกมสนุกๆ เหมาะกับการฝึกทักษะการอ่านและฟังค่ะ โดยครูและเด็กๆช่วยกันเขียนคำศัพท์ไว้บนกระดาน แล้วแบ่งเด็กออกเป็นสองกลุ่ม แต่ละกลุ่มส่งตัวแทนออกมาเล่นเกม ครูอ่านคำศัพท์และให้ผู้เล่นวงกลมคำศัพท์ให้ตรงกับที่ครูอ่าน ใครวงกลมได้ก่อนเป็นผู้ได้คะแนนค่ะ เด็กๆสามารถเล่นได้จนครบทุกคนค่ะ
- Hang Man เกมต้นตำรับที่ท้าทาย ตื่นเต้น และฝึกทักษะการเขียนได้ดีมากค่ะ
- Hot Ball เป็นเกมที่เด็กชื่นชอบ เพราะนอกจากจะได้เล่นลูกบอลสนุกๆแล้ว ยังได้ฝึกพูดภาษาอังกฤษกับเพื่อนๆ วิธีการเล่น คือ ผลัดกันโยนลูกบอลโดยสมมติให้เป็นลูกบอลที่ร้อนที่สุด ใครได้รับพยายามแต่งประโยคภาษาอังกฤษ หรือบอกคำศัพท์ตามโจทย์ที่ได้รับ ถ้านึกไม่ออกก็ส่งบอลให้เพื่อนก่อน แต่ห้ามส่งบอลโดยที่ไม่ตอบอะไรเลยเกิน 3 ครั้งค่ะ ไม่อย่างนั้นต้องเข้ามากลางวงร้องและเต้นเพลงให้เพื่อนๆได้หัวเราะก่อนเรียนนะคะ
- Music Ball เป็นเกมที่เด็กชื่นชอบเช่นกันค่ะ วิธีการเล่น คือ ครูจะเปิดเพลงให้เด็กๆผลัดกันส่งลูกบอลไปตามเพลงด้วยความสนุกสนาน ถ้าเพลงหยุดที่ใครให้แต่งประโยคภาษาอังกฤษ หรือบอกคำศัพท์ตามโจทย์ที่ได้รับ
- Snap เป็นเกมที่ฝึกทักษะการอ่านและเขียนคำศัพท์ เกมนี้เหมาะกับการเล่นในเวลาพัก เช่น หลังจากทำงานเสร็จ วิธีการเล่น คือ จับคู่ แล้วนำบัตรคำศัพท์มาวางตรงกลาง (คว่ำด้านคำศัพท์ลง) เมื่อพร้อมแล้วให้สัญญาณ ใครเอามือวางทับบัตรคำ (ตะครุบ)ได้ก่อนเป็นผู้ได้บัตรคำและ ให้ผู้เล่นฝั่งตรงข้ามสะกดคำศัพท์นั้น ถ้าสะกดถูกต้องจะได้บัตรคำศัพท์นั้นไป

วันอาทิตย์ที่ 11 ธันวาคม พ.ศ. 2554

แปลยังงัยดี


ถ้าต้องแปลจากอังกฤษเป็นไทย และจากไทยเป็นอังกฤษ สำหรับท่านอย่างไหนง่ายกว่า? สำหรับผม - แปลจากอังกฤษเป็นไทยง่ายกว่าเยอะ สาเหตุก็อาจจะเป็นเพราะว่าผมรู้ภาษาไทยดีกว่าภาษาอังกฤษ จึงหาคำไทยมาเทียบศัพท์อังกฤษได้ง่ายกว่าที่จะหาคำอังกฤษมาเทียบศัพท์ไทย ผมเข้าใจว่าคนไทยหลายๆคนก็คงเป็นอย่างผม

แต่เมื่อต้องคุยกับคนต่างชาติเป็นภาษาอังกฤษหรือต้องเป็นล่าม ปัญหาที่พบบ่อยก็คือ เมื่อต้องพูดหรือแปลเป็นภาษาอังกฤษ มันนึกศัพท์อังกฤษไม่ออก แล้วจะทำยังไงดีล่ะครับ ก็ต้องหาทางแก้ปัญหาเฉพาะหน้าไปก่อน มันจะถูกหรือผิดผมก็ไม่รู้เหมือนกันครับ เพราะไม่เคยได้รับการอบรมเรื่องนี้มาเลย แต่ผมก็แก้ปัญหาตามประสาลูกทุ่งอย่างนี้ครับ

วิธีที่ 1: แปลจากภาษาไทยยากๆเป็นภาษาไทยง่ายๆ
ยกตัวอย่างเช่น ตอนแปลคำว่า “ความรู้สึกกระอักกระอ่วน กลืนไม่เข้าคายไม่ออก” ตอนจะแปลจริงๆนึกไม่ออกครับว่า ต้องแปลยังไง รู้แต่ว่าความรู้สึกแบบนี้ มันไม่มีความสุขแน่ๆก็เลยแปลง่ายๆว่า difficult feeling
มีอยู่ครั้งหนึ่งต้องพูดคำว่า “ตามผลการสำรวจสำมโนประชากรของประเทศไทย” นึกไม่ออกจริงๆครับว่า “สำมโนประชากร” นี่ภาษาอังกฤษว่าอย่างไร รู้แต่ว่ามันเป็นการสำรวจข้อมูลประชากรในประเทศในด้านต่างๆ เลยแปลไปว่า population survey

หลายๆคำที่ใช้คำพูดถึงความรู้สึก เช่น “น้อยใจ” จะให้แปลไทยเป็นไทยยังคิดไม่ออกเลยครับว่าจะแปลยังไง แล้วจะแปลเป็นภาษาอังกฤษได้รึนี่? ผมแปลดื้อๆเลยครับว่า feel sorry

ยกตัวอย่างอีกคำหนึ่ง คือ “เกรงใจ” เช่นกันครับแปลคำนี้เป็นภาษาไทยยังต้องคิดนาน จริงๆแล้วถ้าพูดว่า “เกรงใจ” แต่ละสถานการณ์ก็ไม่เหมือนกันอีก แต่โดยทั่วไปคงจะหมายถีง ไม่อยากให้คนอื่นลำบาก เช่น พูดว่า “ผมเกรงใจคุณเลยไม่ได้โทรถึงเมื่อวันอาทิตย์” ผมพูดง่ายๆเลยว่า “I didn’t call you on Sunday because I didn’t want to annoy you.”

มีอยู่ครั้งหนึ่งผมคุยกับคนต่างชาติ คุยเลยไปถึงเรื่องเศรษฐกิจ แล้วจะต้องพูดว่า “ช่วงนั้นประเทศไทยประสบปัญหาเงินเฟ้อ” ผมนึกถึงคำว่า inflation ไม่ออกจริงๆ รู้แต่ว่า ถ้าเงินเฟ้อล่ะก็ของต้องแพง เลยพูดไหลไปเลยว่า “During that time, everything in Thailand was expensive.” ก็พอมั่วๆไปได้

ผมเข้าข้างตัวเองไว้ก่อนว่า วิธีแก้ปัญหาแบบนี้ คือ แปลจากภาษาไทยยากๆเป็นภาษาไทยง่ายๆซะก่อน (ใช้เวลาไม่กี่วินาที) แล้วจึงค่อยแปลเป็นภาษาอังกฤษง่าย ๆ แม้วิธีนี้อาจจะไม่ perfect แต่ก็น่าจะพอถูไถไปได้

วิธีที่ 2: ถ้านึกศัพท์ที่เจาะจงไม่ออก ก็ใช้ศัพท์ทั่วไป
มีอยู่ครั้งหนึ่ง ผมต้องพาผู้เชี่ยวชาญฝรั่งไปดูงานที่จังหวัดขอนแก่น ผู้อำนวยการของหน่วยงานที่ไปเยี่ยม เขาบรรยายว่า “นักโบราณคดีขุดพบซากไดโนเสาร์ที่จังหวัดขอนแก่น” ผมเจอปัญหาเดิมครับ คือ นึกไม่ออกว่า “นักโบราณคดี” นี่ภาษาอังกฤษว่ายังไง ผมเลยใช้คำว่า an expert เพราะยังไงๆนักโบราณคดีก็ต้องเป็นผู้เชี่ยวชาญแน่ๆ

คำบางคำฟังแล้วเป็นศัพท์วิชาการมากๆเลย เช่น พูดว่า “เขาศึกษานิเวศวิทยา” นึกภาษาฝรั่งไม่ออกอีกแล้วครับ รู้แต่ว่ามันเป็นวิชาๆหนึ่ง ผมรู้ว่า “วิชา” ภาษาอังกฤษ คือ “ a subject” และนิเวศวิทยาก็คงเป็นวิชาที่ว่าด้วยการรักษาสิ่งแวดล้อมให้สะอาด ก็น่าจะเป็น a subject about clean environment และตอนหลังเมื่อต้องพูดถึงคำนี้อีกก็พูดสั้นๆว่า the study หรือ the subjectเมื่อเสร็จงานแล้วมาเปิดดิกก็พบว่า แปลอย่างนี้ไม่ค่อยจะถูกนัก แต่ก็น่าจะพออภัยให้ได้นะครับ

ผมคิดว่าวิธีใช้ศัพท์ทั่วไป เพื่อแปลศัพท์จำเพาะนี้น่าจะเอาไปใช้ดีทีเดียว ไม่ว่าจะเป็นคำนาม, adjective, หรือคำกริยา เช่น ภาษาไทย คำอะไรทั้งหลายแหล่ที่มันหมายถึงไม่ค่อยมีความสุข เช่น ทรมาน โศก เศร้า ทุกข์ เสียใจ หดหู่ ฯลฯ ถ้านึกศัพท์เจาะจงไม่ได้เดี๋ยวนั้น ก็ใช้ not happy หรือ unhappy ไปก่อน

คำที่ขึ้นต้นด้วยคำว่า “ต้น” หรือ “ดอก” ต้นไม้นั้น ดอกไม้นี้มีเป็นสิบๆร้อยๆ อย่างใครจะไปจำศัพท์ได้ ก็เอาง่ายๆเลยว่า a treeหรือ a flower และเมื่อพูดกับเขาครั้งต่อไปหลังจากที่เข้าใจกันแล้วว่า หมายถึง ต้นไม้อะไรหรือดอกไม้อะไร ก็ใช้ the tree หรือthe flower แทน

สรุปก็คือถ้าเราไม่รู้ศัพท์โดยเจาะจง ให้เราพยายามดูว่ามันเป็นประเภทอะไร แล้วก็พูดโดยใช้ศัพท์กลางๆตัวนั้น เช่น เครื่องมือ ก็ tool, สัตว์ ก็ animal, “นัก” นั่น “นัก” นี่ ซึ่งหมายถึงผู้เชี่ยวชาญก็ใช้ “expert”, หมอสารพัดหมอ ไม่ว่าจะเป็นหมอสูติฯ หมอศัลย์ หมอฟัน หมอเด็ก หมอโรคหัวใจ ฯลฯ นึกไม่ออกก็ใช้ “ doctor” ไปก่อน เป็นต้น

หรือคำกริยาก็เหมือนกันครับ ถ้าเราต้องเป็นล่ามหรือแม้ต้องเป็นคนพูดเองก็ตาม ภาษาไทย(รากศัพท์จากบาลี) บางคำหรูหราและมีวรรณศิลป์มาก เช่น “เขาค่อยๆประดิดประดอยนำดอกไม้ใส่แจกัน” ตอนแปลไม่ต้องคิดมากเกินไปหรอกครับ ทำอย่างประดิดประดอยก็ต้องไม่ทำอย่างลวกๆ ต้องตั้งใจทำหน่อย ใช้ carefully ก็น่าจะได้

EFFECTS OF COLD WATER



Please be a true friend and send this article to all your friends you care about. For those who like to drink cold water, this article is applicable to you.


บทความนี้สำหรับคนที่ชอบกินน้ำเย็นโดยเฉพาะ




It is nice to have a cup of cold drink after a meal. However, the cold water will solidify the oily stuff that you have just consumed.


เวลาได้กินน้ำเย็นๆ ซักแก้วหลังอาหารรู้สึกมันชื่่นใจดีใช่มั้ยครับ แต่ว่า น้ำเย็นจะทำให้ไขมันที่คุณเพิ่งกินเข้าไปเมื่อกี๊จับตัวเป็นไขขึ้นมา




It will slow down the digestion. Once this 'sludge' reacts with the acid, it will break down and be absorbed by the intestine faster than the solid food. It will line the intestine. Very soon, this will turn into fats and lead to cancer. It is best to drink hot soup or warm water after a meal.


ซึ่งจะส่งผลให้การย่อยอาหารช้าลง และถ้าคราบไขมันเหล่านี้ไปทำปฏิกิริยากับกรด มันจะแตกตัวแล้วจะถูกดูดซึมไปที่ลำไส้ ไขมันที่แตกตัวนี้จะดูดซึมได้เร็วกว่าอาหารทั่วไป แล้วก็จะเริ่มเคลือบลำไส้ของเราไว้ (ด้านใน) ในไม่ช้า มันก็จะแปรสภาพเป็นไขมันก้อนๆ และเป็นบ่อเกิดของมะเร็งในที่สุด ดังนั้น ควรดื่มน้ำอุ่นหลังอาหารดีกว่า




A serious note about heart attacks - You should know that not every heart attack symptom is going to be the left arm hurting. Be aware of intense pain in the jaw line.


ขอเพิ่มเติมเกี่ยวกับอาการของโรคหัวใจ เวลาที่เกิดอาการ ไม่จำเป็นว่าจะต้องเจ็บที่แขนซ้ายเสมอไป ถ้าคุณมีอาการปวดกรามหรือ ขากรรไกรก็อาจจะเป็นสัญญาณของโรคหัวใจได้




You may never have the first chest pain during the course of a heart attack. Nausea and intense sweating are also common symptoms. 60% of people who have a heart attack while they are asleep do not wake up. Pain in the jaw can wake you from a sound sleep. Let's be careful and be aware. The more we know the better chance we could survive.


แม้ว่าคุณจะเป็นโรคหัวใจ แต่คุณก็ไม่จำเป็นต้องมีอาการเจ็บหน้าอก อาการเหงื่อออก คลื่นไส้ ก็เป็นอาการที่เกิดขึ้นได้กับโรคทั่วๆไป 60% ของคนที่โรคหัวใจกำเริบขณะหลับมันจะไม่ตื่น (อีกเลยรึเปล่าก็ไม่รู้) แต่อาการปวดกราม อาจจะทำให้คุณตื่นขึ้นมากลางดึกได้ ก็ให้ระวังดูและตัวเอง ถ้ามีอาการเหล่านี้




A cardiologist says if everyone who reads this message sends it to 10 people, you can be sure that we'll save at least one life. Read this & Send the link to a friend. It could save a life. So, please be a true friend and send this article to all your friends you care about. ผู้เชี่ยวชาญด้านหัวใจกล่าวว่า ถ้าคุณช่วยส่งเมล์นี้ต่อให้คนอื่นๆ ซัก 10 คน อาจจะช่วยชีวิตคนไว้ได้อย่างน้อยคนนึง โปรดช่วยเพื่อนๆ และคนที่คุณรักด้วยการแค่ส่งเมล์นี้ต่อให้กับเพื่อนๆ ของคุณ ยังไม่สายเกินไปที่จะส่งต่อเดี๋ยวนี้...

ทำไมถึงใช้ No. แทน Number ทั้ง ๆ ที่ไม่มีตัว o

ทั้ง ๆ ที่ไม่มีตัว o ในคำว่า Number
คำตอบคือ จริง ๆ แล้ว No. ไม่ได้เป็นอักษรย่อของ Numberนะสิค่ะ
No. นั้นเป็นอักษรย่อของ numero ซึ่งเป็นภาษาละตินแปลว่า number